Skip to main content

เมื่อหนูน้อยถึงเวลาต้องไปโรงเรียน



เมื่อโรงเรียนใกล้เปิดเรียนแล้ว คุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่ลูกจะเข้าโรงเรียนครั้งแรกคงจะมีอาการตื่นเต้นปนกังวลอยู่แน่นอนว่า การไปโรงเรียนวันแรกของลูกนั้นจะเป็นอย่างไร จะสามารถผ่านไปด้วยดี หรือลูกจะร้องไห้มากแค่ไหน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม การเตรียมตัวแต่เนิ่นๆสำหรับการไปโรงเรียนนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เช่น การฝึกใส่เสื้อผ้าเอง ฝึกการขับถ่าย และส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายต่างๆ
พญ. เพียงทิพย์ หังสพฤกษ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์กล่าวว่า เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย พอไปโรงเรียนครูฝึกให้ทำอะไรแล้วทำไม่ได้ แต่เพื่อนทำได้ เด็กก็จะรู้สึกด้อย ไม่มั่นใจ รู้สึกแตกต่างหรือรู้สึกถูกทอดทิ้งไม่ได้รับการดูแลเหมือนที่บ้าน เขาก็จะยิ่งไม่อยากไปโรงเรียน บางรายพบว่าเหตุผลที่เด็กไม่อยากไปโรงเรียนเพราะติดพี่เลี้ยง เนื่องจากตอนอยู่บ้านพี่เลี้ยงทำให้ทุกอย่าง ดังนั้น พ่อแม่ต้องช่วยเหลือลูกให้ถูกทาง คือช่วยให้เขาช่วยตัวเองให้ได้ ไม่ใช่ทำให้เขาสบาย จนทำอะไรไม่เป็นเลย
อีกทั้งการที่คุณพ่อคุณแม่ได้สร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับโรงเรียนจะทำให้ลูกเกิดความไว้วางใจในครู และเพื่อนๆที่โรงเรียนอีกด้วย ถึงแม้จะมีการเตรียมตัวมาดีแล้ว ในวันแรกของการไปโรงเรียน หลายคนมักร้องไห้ บางคนอาจร้องเป็นอาทิตย์ บางคนร้องในวันที่ 2 หรือบางคนในวันแรกๆอยากไปโรงเรียนแต่ต่อมาก็ไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นการปรับตัวตามวัยและพัฒนาการของเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่เข้าใจในเหตุผลว่าทำไมต้องไปโรงเรียน แม้คุณพ่อคุณแม่จะบอกว่าเรียนหนังสือทำให้ฉลาด โตขึ้นจะได้มีงานดีๆทำแต่รู้หรือไม่ว่า เด็กยังไม่สามารถเข้าใจภาพในอนาคตได้มากขนาดนั้น

ดังนั้น ในวันแรกๆที่ลูกร้องไห้ พญ.ศศิธร จันทรทิณ กุมารแพทย์ ได้แนะนำวิธีรับมือให้กับคุณพ่อคุณแม่ ดังนี้
1.ลูกร้องไห้ ขอให้คุณพ่อคุณแม่ทำตัวปกติ ตั้งสติให้ดีเข้าใจและยอมรับการร้องไห้ว่าเกิดขึ้นได้ อาจบอกลูกอย่างมั่นคงว่า “หนูมาโรงเรียน แม่ไปทำงาน เสร็จงานแล้วจะมารับแน่นอน” ก่อนที่จะให้คุณครูพาเข้าห้องเรียน ที่สำคัญ อย่างร้องไห้ตาม หรือขู่ลูก เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ลูกหยุดร้องไห้แล้ว ลูกจะยิ่งตกใจและไม่อยากมาโรงเรียน
2.ของติดตัว เด็กวัยนี้อาจมีของที่เขาติด เช่นผ้าห่ม หมอน ตุ๊กตา เอาไว้กอดเวลานอนหรือเมื่อไม่สบายใจ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรอนุโลมให้ลูกเอาติดไปซึ่งคุณครูก็เข้าใจและเมื่อลูกปรับตัวได้แล้ว จึงค่อยคุยให้เข้าใจจนไม่ต้องนำติดไปโรงเรียนอีก
3.ทิ้งลูก  อยู่กับลูกตามกติกาที่โรงเรียนอนุญาตให้คุณพ่อคุณแม่อยู่กับลูกได้ อย่าทิ้งลูกหรือหนีไปโดยไม่บอกกล่าวล่ำลา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ควรที่จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อให้โรงเรียนสามารถจัดการได้สะดวก
4.รับช้า  ในวันแรกๆของการไปโรงเรียนอย่าไปรับช้าเด็ดขาดเพราะเป็นวันสำคัญและมีความหมายต่อเด็กมาก หากพ่อแม่ให้สัญญาว่าจะมารับเวลาใดก็ขอให้มาตรงเวลาเพราะเด็กจะเกิดความเชื่อถือ ความมั่นใจ การที่มารับลูกช้าจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกว่าเขาถูกทอดทิ้งและจะมีผลให้ไม่อยากไปโรงเรียนอีก
5.ใจอ่อน  เด็กบางคนจะมีลูกเล่นหรือวิธีเพื่อให้ดูว่าตนเองน่าสงสาร ร้องไห้บ้าง แกล้งไม่สบายบ้าง เพื่อที่ตนจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน ซึ่งเป็นผลเสียกับเด็กหากคุณพ่อคุณแม่ใจอ่อนให้หยุดเรียน ไปโรงเรียนไม่สม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลถึงการปรับตัวของเด็กอาจต้องใช้เวลามากขึ้น
6.เกรี้ยวกราด ลงโทษ สำหรับเด็กบางรายอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวมากหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ไปโรงเรียนอีกเลย พ่อแม่ควรอดทน ใจเย็น ไม่เกรี้ยวกราดหรือลงโทษแม้ลูกจะก้าวร้าว อาละวาดบ้าง แต่ขอให้เข้าใจว่า เด็กต้องไปเผชิญกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ควรให้เวลาในการปรับตัวแก่เขาประมาณ2-3อาทิตย์

การเริ่มต้นไปโรงเรียนถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับลูกเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องอยู่ตามลำพัง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรวิตกกังวลนัก ยิ่งปล่อยให้ลูกดูแลตัวเองได้มากเท่าใด ก็จะทำให้ลูกเชื่อมั่นในตัวเองมากเท่านั้น แทนที่จะคอยช่วยเหลือเขาอยู่ตลอดเวลา ช่วยในสิ่งที่จำเป็นจริงๆเพราะนั่นคือวิธีที่จะช่วยให้ลูกเติบโตทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและปัญญาอย่างสมบูรณ์ค่ะ



แหล่งอ้างอิง

Comments

Popular posts from this blog

วิธีการรับมือกลับการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น

วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ สังคม และอารมณ์  เกิดขึ้นก่อนที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางจิตใจ โดยผ่านกระบวนการพัฒนาการด้านต่างๆรวมไปถึงการมีเอกลักษณ์ของตนเอง ( Identity) การมีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง (Independence) การรู้จักและควบคุมอารมณ์ของตนเอง และการมีมโนธรรมที่เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม ( Conscience) ตลอดจนสามารถมีความรักความผูกพันกับเพื่อนและเพศตรงข้ามได้อย่างเหมาะสม ( Intimacy) ซึ่งโดยส่วนมากแล้ววัยรุ่นสามารถผ่านกระบวนการนี้ไปได้ด้วยดี แต่อาจมีวัยรุ่นบางส่วนที่อาจเผชิญกับปัญหาการปรับตัวเหล่านี้ที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ ปัญหาด้านอารมณ์ ดังนั้นผู้ปกครองควรทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่างๆในช่วงวัยนี้ ทั้งด้านอารมณ์ของวัยรุ่นที่ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว วู่วาม หงุดหงิดง่าย ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศ สภาพร่างกายและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อารมณ์ที่พบบ่อยคือ ความรู้สึกวิตกกังวล กลัวต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง อารมณ์ทางเพศที่สูงขึ้น พฤติกรรมทางเพศ รวมทั้งกลัวความเป็นผู้ใหญ่ กลัวการรับผิดชอบ การยอมรับจากเพื่อน ความขัดแย้งในการมีอิสระและขอบเ

Natachai Boonprasert (Dunk) Turning His Dream to Create Computer Software into Reality

Natachai Boonprasert (Dunk) has made the most out of his learning throughout 9 years at Heathfield International School. This has shaped his perspective to be an inventor of new digital platforms.   He followed his passion in developing a computer application when he got accepted to be a Software Engineering student at King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang. It is always good news to hear that our pupils have taken another step into what they really love to do.   In this interview session, we will get to know about Dunk, his school life and what he looks forward to regarding building potential software projects in the future. ตลอด 9 ปี นายณัฎฐ์ฐชัย บุญประเสริฐ ( ดัง ) เก็บเกี่ยวประสบการณ์เรียนรู้ที่โรงเรียนนานาชาติฮีทฟิลด์ เขาใฝ่ฝันจะเป็นผู้ผลิตดิจิตอลแพลตฟอร์ม ดังได้เริ่มเดินทางตามความฝันโดยเริ่มจากการเข้าศึกษาต่อที่สาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โรงเรียนฯ มีความยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นนักเรียนมีโอกาสสานฝั

CIS คือ อะไร ??

   หลายท่านอาจสงสัยว่า CIS คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร ทำไมโรงเรียนนานาชาติหลายแห่งถึงนำเสนอว่าตนได้รับการรับรองจาก CIS แล้ว เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นจะขอสรุปสั้นๆให้เข้าใจ  ดังนี้ CIS  ย่อมาจาก Council of International Schools        คือ สถาบันชั้นนำอันดับหนึ่ง ที่ประเมินคุณภาพและรับรองมาตรฐานทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติที่ใช้หลักสูตรอังกฤษทั่วโลก สถานบันนี้ได้มุ่งเน้นความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ พร้อมทั้งพัฒนาความสัมพันธ์ และ การร่วมมือกันระหว่างคุณครูและผู้ปกครองอย่างดีเยี่ยม  เพราะฉะนั้นโรงเรียนที่จะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก CIS ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความพร้อมในทุกๆด้าน ที่ตรงกับกฏเกณฑ์ที่ CIS กำหนดไว้ เช่น โปรแกรมการเรียนการสอนที่เข้มข้น ครูที่ต้องจบด้านการศึกษาและเป็นชาวอังกฤษทั้งหมด ความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์การสอน ที่ต้องมีคุณภาพเทียบกับโรงเรียนเอกชนชั้นนำในประเทศอังกฤษ  รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ได้มาตราฐานสากล    นอกเหนือจากนั้นโรงเรียนที่ได้รับรองมาตรฐานแล้วต้องมุ่งพัฒนาบุคลากรของโรงเรียน อย่างต่อเนื่อง เพื่อก่อให้เกิดสังคมการเรียนรู้ที่ทันต่อกา