Skip to main content

หลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน



ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่ส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติมักจะได้ยินชื่อระบบการศึกษาแบบใหม่ที่เรียกว่า IB หลายท่านยังคงสงสัยถึง ความแตกต่างระหว่างการเรียนในระบบ IB และ การเรียนในระบบ IGCSE ว่ามีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของ 2 ระบบนี้ เพื่อเป็นการวางแผนทางการศึกษาของบุตรหลานของท่านอย่างเหมาะสม
ระบบ IB (the International Baccalaureate) เป็นหลักสูตรใหม่ที่ร่างระบบโดยนักวิชาการจากศูนย์การส่งเสริมการศึกษานานาชาติที่เมืองเจนีวา ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรเข้มข้นที่เตรียมความพร้อมในการเข้าต่อมหาวิทยาลัยในทุกประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย 6วิชาหลักดังนี้ ภาษาอังกฤษ, วิทยาศาสตร์เชิงทดลอง, ศิลปะ, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์, นอกจากนั้นนักเรียนจะต้องทำกิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชน กิจกรรมกีฬา และสร้างสรรค์ทางศิลปะอีกด้วย ซึ่งหลักสูตรนี้จะไม่มุ่งเน้นสาขาฉะเพราะทาง นักเรียนจะต้องเรียนในทุกวิชาที่กำหนดมา ซึ่งมักจะเกินกว่าความต้องการของสาขาวิชาที่นักเรียนต้องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นระบบ IB จึงเหมาะกับนักเรียนที่ยังไม่ค้นพบตนเองว่าต้องการเรียนต่อในสาขาใด หรือ นักเรียนที่ต้องมีการย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง อาทิเช่น บุตรหลานนักการทูต เป็นต้น

ระบบอังกฤษ การสอบเทียบ IGCSE ( International General Certificate of Secondary Education) ซึ่งเทียบเท่ากับวุฒิ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ของในหลักสูตรไทย ซึ่งการสอบเทียบนี้นักเรียนจะต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป ผู้สอบสามารถเลือกสอบได้ 6-10 วิชา เพื่อให้เหมาะกับสาขาวิชาการที่ตนเองกำลังจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ผลการสอบจะแบ่งออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้ Grad A, B, C, D, E, F, G หากนักเรียนสอบได้ตั้งแต่ Grade C ขึ้นไปถือว่าสอบผ่าน นักเรียนที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ในประเทศไทยต้องสอบให้ได้ Grade C อย่างน้อย 5 วิชาขึ้นไป จึงจะทำการยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัยได้ หากนักเรียนมีความประสงค์ที่จะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา จะต่อเรียนต่ออีก 2 ปี เพื่อสอบ A Level (Advance Level)

ปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติฮีทฟิลด์กำลังจะเปิดสอนในระดับ A Level หรือ Sixth From Colleges (Year 12 & Year 13) ผู้สอบ A level จะสอบเมื่อตนเองเรียนจบ Year 13 และต้องมีอายุ 18 ขึ้นไป วิชาที่ให้เลือกสอบปัจจุบันมีมากกว่า 50 วิชา นักเรียนสามารถลงสอบเพียง 2-4 วิชาเพื่อที่จะเรียนต่อในสาขาวิชาดังกล่าวอย่างลึกซึ้งในระดับปริญาตรี ซึ่งผลสอบของ A Level สามารถนำไปยื่นเรียนต่อได้ทุกมหาวิทยาลัยทั่วโลก การพิจารณาผลการสอบ A level นั้นจะแบ่งออกมาได้ดังนี้คือเกรด A, B, C, D, E  หากนักเรียนสอบได้ เกรด ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ นี้จะถือว่านักเรียนสอบผ่านหมด แต่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะพิจราณาผู้ที่มีผลสอบ เกรด C หรือ B ขึ้นไป


เมื่อกล่าวถึงข้อได้เปรียบของการเรียน A level จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับนักเรียนให้มีความรู้เฉพาะทางโดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งต่างจากการเรียนในระบบ IB ที่ไม่มุ่งเน้นด้านใดด้านหนึ่ง ดังนั้นนักเรียนจะได้ศึกษาวิชาที่ตนเองสนใจในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ซึ่งจะเสียเปรียบมื่อเทียบกับนักเรียนที่เรียนจบ  A Level (Advance Level) มาในระดับอุดมศึกษา

Comments

Post a Comment

Popular posts from this blog

วิธีการรับมือกลับการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น

วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ สังคม และอารมณ์  เกิดขึ้นก่อนที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางจิตใจ โดยผ่านกระบวนการพัฒนาการด้านต่างๆรวมไปถึงการมีเอกลักษณ์ของตนเอง ( Identity) การมีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง (Independence) การรู้จักและควบคุมอารมณ์ของตนเอง และการมีมโนธรรมที่เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม ( Conscience) ตลอดจนสามารถมีความรักความผูกพันกับเพื่อนและเพศตรงข้ามได้อย่างเหมาะสม ( Intimacy) ซึ่งโดยส่วนมากแล้ววัยรุ่นสามารถผ่านกระบวนการนี้ไปได้ด้วยดี แต่อาจมีวัยรุ่นบางส่วนที่อาจเผชิญกับปัญหาการปรับตัวเหล่านี้ที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ ปัญหาด้านอารมณ์ ดังนั้นผู้ปกครองควรทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่างๆในช่วงวัยนี้ ทั้งด้านอารมณ์ของวัยรุ่นที่ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว วู่วาม หงุดหงิดง่าย ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศ สภาพร่างกายและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อารมณ์ที่พบบ่อยคือ ความรู้สึกวิตกกังวล กลัวต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง อารมณ์ทางเพศที่สูงขึ้น พฤติกรรมทางเพศ รวมทั้งกลัวความเป็นผู้ใหญ่ กลัวการรับผิดชอบ การยอมรับจากเพื่อน ความขัดแย้งในการมีอิสระและขอบเ

Natachai Boonprasert (Dunk) Turning His Dream to Create Computer Software into Reality

Natachai Boonprasert (Dunk) has made the most out of his learning throughout 9 years at Heathfield International School. This has shaped his perspective to be an inventor of new digital platforms.   He followed his passion in developing a computer application when he got accepted to be a Software Engineering student at King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang. It is always good news to hear that our pupils have taken another step into what they really love to do.   In this interview session, we will get to know about Dunk, his school life and what he looks forward to regarding building potential software projects in the future. ตลอด 9 ปี นายณัฎฐ์ฐชัย บุญประเสริฐ ( ดัง ) เก็บเกี่ยวประสบการณ์เรียนรู้ที่โรงเรียนนานาชาติฮีทฟิลด์ เขาใฝ่ฝันจะเป็นผู้ผลิตดิจิตอลแพลตฟอร์ม ดังได้เริ่มเดินทางตามความฝันโดยเริ่มจากการเข้าศึกษาต่อที่สาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โรงเรียนฯ มีความยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นนักเรียนมีโอกาสสานฝั

CIS คือ อะไร ??

   หลายท่านอาจสงสัยว่า CIS คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร ทำไมโรงเรียนนานาชาติหลายแห่งถึงนำเสนอว่าตนได้รับการรับรองจาก CIS แล้ว เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นจะขอสรุปสั้นๆให้เข้าใจ  ดังนี้ CIS  ย่อมาจาก Council of International Schools        คือ สถาบันชั้นนำอันดับหนึ่ง ที่ประเมินคุณภาพและรับรองมาตรฐานทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติที่ใช้หลักสูตรอังกฤษทั่วโลก สถานบันนี้ได้มุ่งเน้นความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ พร้อมทั้งพัฒนาความสัมพันธ์ และ การร่วมมือกันระหว่างคุณครูและผู้ปกครองอย่างดีเยี่ยม  เพราะฉะนั้นโรงเรียนที่จะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก CIS ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความพร้อมในทุกๆด้าน ที่ตรงกับกฏเกณฑ์ที่ CIS กำหนดไว้ เช่น โปรแกรมการเรียนการสอนที่เข้มข้น ครูที่ต้องจบด้านการศึกษาและเป็นชาวอังกฤษทั้งหมด ความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์การสอน ที่ต้องมีคุณภาพเทียบกับโรงเรียนเอกชนชั้นนำในประเทศอังกฤษ  รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ได้มาตราฐานสากล    นอกเหนือจากนั้นโรงเรียนที่ได้รับรองมาตรฐานแล้วต้องมุ่งพัฒนาบุคลากรของโรงเรียน อย่างต่อเนื่อง เพื่อก่อให้เกิดสังคมการเรียนรู้ที่ทันต่อกา